Vietnam's Financial Reforms: IPO, Bond Rules, and Digital Asset Market (2025)

  • FacebookFacebook
  • XTwitter

ASEAN Roundup ประจำวันที่ 7-13 กันยายน 2568

  • เวียดนามยกเครื่องเกณฑ์ขาย IPO ตราสารหนี้ พร้อมเพิ่มสัดส่วนต่างชาติถือหุ้น
  • เวียดนามเตรียมทดสอบตลาดซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล
  • นครโฮจิมินห์ขยายสัดส่วนถือครองกรรมสิทธิ์ในโครงการอสังหาของต่างชาติเพื่อดึงดูด FDI
  • สินค้าอเมริกันทะลักเข้าเวียดนาม
  • สิงคโปร์ตกอันดับใน World Talent
  • มาเลเซียปรับกลไกสิทธิประโยชน์หนุนอุตสาหกรรมรถยนต์
  • อินโดนีเซียเสริมความแข็งแกร่งการเชื่อมต่อแบบดิจิทัลผ่านดาวเทียมดวงใหม่

เวียดนามยกเครื่องเกณฑ์ขาย IPO ตราสารหนี้ พร้อมเพิ่มสัดส่วนต่างชาติถือหุ้น

Vietnam's Financial Reforms: IPO, Bond Rules, and Digital Asset Market (1)

เวียดนามได้ยกเครื่องกฎระเบียบด้านหลักทรัพย์ด้วยกฎหมาย 245/2025/ND-CP โดยแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติ 89 ประการ ซึ่งเป็นการปฏิรูปครั้งใหญ่มุ่งเพิ่มความเข้มงวดในเงื่อนไขการเสนอขายตราสารหนี้ต่อสาธารณะ ยกระดับการคุ้มครองนักลงทุน และปรับปรุงกระบวนการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนครั้งแรก (IPO) ขณะเดียวกันก็อำนวยความสะดวกในการเข้าถึงสำหรับนักลงทุนต่างชาติอีกด้วย การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศที่ต้องการมีส่วนร่วมในตลาดหลักทรัพย์ที่กำลังเติบโตของเวียดนาม

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งรัฐ ( State Securities Commission:SSC) ประกาศเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2568 ว่า รัฐบาลได้ออกกฎหมายที่ 245/2025/ND-CP (ลงวันที่ 11 กันยายน 2568) เพื่อแก้ไขและเพิ่มเติมบทบัญญัติหลายประการของกฎหมาย 155/2020/ND-CP พระราชกฤษฎีกาฉบับใหม่นี้ให้แนวทางละเอียดสำหรับการนำบทบัญญัติบางประการของกฎหมาย 56/2024/QH15 ไปปฏิบัติ และแก้ไขปัญหาในทางปฏิบัติในการดำเนินงานตลาดหลักทรัพย์ของเวียดนาม

Vietnam's Financial Reforms: IPO, Bond Rules, and Digital Asset Market (2)

ภายใต้กฎหมาย 245/2025/ND-CP ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม 89 มาตรา และได้ยกเลิกบทบัญญัติในกฎหมาย 155/2020/ND-CP จำนวน 22 มาตรา การแก้ไขที่สำคัญประการหนึ่งได้ให้ความชัดเจนความหมายของคำว่า “การปรับโครงสร้างองค์กร” เพื่อให้เกิดความสอดคล้องและความแน่นอนทางกฎหมายเมื่อบริษัทต่างๆ ดำเนินการเสนอขายหลักทรัพย์ ออกหุ้นใหม่ หรือดำเนินการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในการดำเนินงานหรือการกำกับดูแล

กฎหมายยังระบุถึงวิธีการกำหนด “มูลค่าสินทรัพย์รวม” ในการประเมินว่าธุรกรรมใดเข้าข่ายเป็นข้อตกลงการปรับโครงสร้างองค์กรหรือไม่ ซึ่งหมายถึงธุรกรรมใดๆ ที่มีมูลค่าอย่างน้อย 35% ของสินทรัพย์รวม เกณฑ์มาตรฐานนี้อ้างอิงจากงบการเงินที่ผ่านการตรวจสอบแล้ว ได้แก่ งบการเงินรวมสำหรับบริษัทที่มีหน่วยงานอิสระแต่ไม่มีสถานะทางกฎหมาย หรืองบการเงินเฉพาะกิจการและงบการเงินรวมของบริษัทแม่ที่มีมูลค่าต่ำกว่า

การปรับเปลี่ยนที่สำคัญนี้ช่วยเสริมสร้างความรับผิดชอบของบริษัทหลักทรัพย์ที่ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการเสนอขายหลักทรัพย์ต่อสาธารณะ การออกหลักทรัพย์ และการจดทะเบียน กฎหมายฉบับนี้ได้กำหนดมาตรฐานการยื่นและการดำเนินการทางการปกครองผ่านระบบบริการสาธารณะแห่งชาติ (National Public Service Portal) ซึ่งทำให้สามารถใช้บัญชีดิจิทัลเพื่อยืนยันตัวตนได้ ถือเป็นก้าวสำคัญสู่การเปลี่ยนบริการสาธารณะในภาคธุรกิจหลักทรัพย์ให้เป็นดิจิทัลอย่างครอบคลุม

Vietnam's Financial Reforms: IPO, Bond Rules, and Digital Asset Market (3)

สถาบันที่ปรึกษาต้องดำเนินการจัดเตรียมเอกสารสำหรับการเสนอขายหลักทรัพย์ การออกหลักทรัพย์ การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และการจดทะเบียน สำหรับการเสนอขายหลักทรัพย์และการออกหลักทรัพย์ บริษัทต่างๆ จะต้องรายงานและเปิดเผยการใช้เงินทุนที่ระดมได้ทุกๆ 6 เดือน นับตั้งแต่วันปิดการเสนอขายหลักทรัพย์จนถึงวันที่มีการเบิกจ่ายเงินทุนทั้งหมด โดยต้องนำเสนอรายงานการใช้เงินทุนที่ผ่านการตรวจสอบบัญชีในการประชุมสามัญประจำปี

สำหรับการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณชนครั้งแรก (IPO) หนังสือชี้ชวนต้องมีรายงานการตรวจสอบบัญชีอิสระเกี่ยวกับเงินทุนจดทะเบียน หลังจากการเสนอขาย IPO เมื่อมีการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ระยะเวลาสำหรับหุ้นที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จะลดลงจาก 90 วันเหลือ 30 วัน ซึ่งจะช่วยคุ้มครองนักลงทุนได้ดียิ่งขึ้นและเพิ่มความน่าสนใจให้กับหุ้นที่ออกใหม่

เงื่อนไขการออกตราสารหนี้เพื่อเสนอขายต่อสาธารณะมีความเข้มงวดมากขึ้น โดยกำหนดให้ผู้ออกและตราสารหนี้ของบริษัทที่จดทะเบียนในการขายต่อสาธารณะต้องมีอันดับความน่าเชื่อถือ ยกเว้นในกรณีที่ตราสารหนี้ออกโดยสถาบันสินเชื่อ หรือได้รับการค้ำประกันเต็มจำนวนโดยธนาคารในประเทศหรือต่างประเทศ สถาบันการเงิน หรือองค์กรการเงินระหว่างประเทศ

Vietnam's Financial Reforms: IPO, Bond Rules, and Digital Asset Market (4)

หัวใจสำคัญของกฎหมายฉบับนี้คือแก้ไขจุดอ่อนในตลาดตราสารหนี้ขององค์กร ที่เดิมภายใต้มาตรา 19 ของกฎหมายฉบับที่ 155/2020/ND-CP กำหนดให้ผู้ออกตราสารหนี้หรือผู้จดทะเบียนตราสารหนี้เพื่อขายต่อสาธารณะต้องได้รับการจัดอันดับเครดิตเฉพาะในกรณีที่มูลค่ารวมของตราสารหนี้ที่ระดมทุนในช่วง 12 เดือนเกิน 500 พันล้านด่อง และคิดเป็นมากกว่าครึ่งหนึ่งของทุนจดทะเบียนของผู้ออก หรือหากหนี้ตราสารหนี้รวมสูงกว่า 100% ของทุนจดทะเบียน เกณฑ์ที่ค่อนข้างผ่อนปรนนี้ทำให้บางบริษัทสามารถออกตราสารหนี้ได้โดยไม่มีหลักประกันทางการเงินที่เพียงพอ ซึ่งนำไปสู่กรณีที่ผู้ออกไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามภาระผูกพัน ซึ่งท้ายที่สุดแล้วทำให้ผู้ลงทุนต้องเผชิญความเสี่ยงจากการขาดทุนจำนวนมาก

กฎหมายใหม่ยังได้เพิ่มข้อกำหนดใหม่หลายประการในมาตรา 19 รวมถึงข้อกำหนดที่ผู้ออกตราสารต้องมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 24 ที่สำคัญอย่างยิ่งคือ ได้กำหนดเพดานหนี้สินที่ผู้ออกตราสารสามารถแบกรับได้ กล่าวคือ หนี้สินรวม รวมถึงมูลค่าของพันธบัตรที่จะออก ต้องไม่เกิน 5 เท่าของทุนจดทะเบียนของผู้ออกตราสาร โดยอ้างอิงจากงบการเงินที่ผ่านการตรวจสอบล่าสุด แต่มีข้อยกเว้นสำหรับรัฐวิสาหกิจ ผู้ออกโครงการอสังหาริมทรัพย์ สถาบันการเงิน บริษัทประกันภัยและประกันภัยต่อ บริษัทหลักทรัพย์ และบริษัทจัดการกองทุน นอกจากนี้ กฎหมายยังระบุด้วยว่า หนี้สินที่ใช้ในการปรับโครงสร้างภาระผูกพันที่มีอยู่จะไม่ถูกจำกัดอยู่ในเพดานนี้ โดยมีเงื่อนไขว่าเงินทุนดังกล่าวจะต้องถูกนำไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าวอย่างเคร่งครัด และต้องไม่ถูกนำไปใช้อย่างอื่น

Vietnam's Financial Reforms: IPO, Bond Rules, and Digital Asset Market (5)

สำหรับบริษัทที่วางแผนจะออกตราสารหนี้หลายชุด กฎหมายกำหนดว่ามูลค่าของตราสารหนี้ที่ออกในแต่ละงวดต้องไม่เกินทุนจดทะเบียนของผู้ออก อย่างไรก็ตาม หากตราสารหนี้ได้รับการค้ำประกันโดยสถาบันการเงินบางแห่ง ข้อจำกัดบางประการอาจได้รับการยกเว้น บทบัญญัติเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อควบคุมการกู้ยืมเงินที่มากเกินไปในหมู่ผู้ออกตราสารหนี้ ซึ่งเป็นปัญหาที่เคยสร้างปัญหาให้กับตลาดพันธบัตรของเวียดนามที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว

องค์กรการเงินระหว่างประเทศที่ต้องการออกตราสารหนี้เพื่อเสนอขายต่อในเวียดนามก็ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบใหม่เช่นกัน กฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 26 โดยกำหนดให้ตราสารหนี้ต้องมีอายุขั้นต่ำ 5 ปี และต้องนำเงินที่ได้ทั้งหมดไปลงทุนในโครงการในประเทศหรือในทุนของบริษัทในเวียดนาม ผู้ออกต้องมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตามพันธกรณีที่มีต่อนักลงทุน ซึ่งรวมถึงการชำระเงินตรงเวลาและการรักษาสิทธิและผลประโยชน์ตามกฎหมาย และต้องเปิดบัญชีดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา (Escrow account)เพื่อรับเงินค่าซื้อพันธบัตร นอกจากนี้ ปัจจุบันยังมีภาระผูกพันที่จะต้องนำตราสารหนี้ไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทันทีหลังจากการเสนอขาย

พระราชกฎหมายฉบับนี้ยังช่วยลดอุปสรรคสำหรับนักลงทุนต่างชาติ ขั้นตอนการรับรองสถานะนักลงทุนมืออาชีพได้รับการปรับปรุงให้สอดคล้องกับเอกสารทางกฎหมายต่างประเทศ ทำให้การเข้าร่วมโครงการเสนอขายหุ้นต่อบุคคลในวงจำกัด (Private Placement) เข้าถึงได้ง่ายขึ้น สิทธิของผู้ถือหุ้นต่างชาติยังได้รับการคุ้มครองอย่างชัดเจนยิ่งขึ้นภายใต้กฎระเบียบใหม่

การปฏิรูปที่สำคัญอีกประการหนึ่งเกี่ยวข้องกับสิทธิของผู้ถือหุ้นต่างชาติ กฎหมายฉบับนี้ยกเลิกกฎระเบียบเดิมที่อนุญาตให้ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นหรือข้อบังคับของบริษัทกำหนดสัดส่วนการถือหุ้นสูงสุดของผู้ถือหุ้นต่างชาติให้ต่ำกว่าที่กฎหมายหรือพันธกรณีระหว่างประเทศกำหนดไว้ บริษัทที่ได้แจ้งสัดส่วนการถือหุ้นสูงสุดของผู้ถือหุ้นต่างชาติไว้แล้วอาจคงไว้หรือเพิ่มสัดส่วนดังกล่าวให้สอดคล้องกับข้อกำหนดทางกฎหมาย แต่บริษัทที่ยังไม่ได้ดำเนินการตามประกาศนี้ต้องดำเนินการภายใน 12 เดือนนับจากวันที่พระราชกฤษฎีกามีผลบังคับใช้ คาดว่าการปรับเปลี่ยนนี้จะทำให้ตลาดหุ้นเวียดนามน่าสนใจสำหรับนักลงทุนต่างชาติมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ช่วยลดความเสี่ยงทางกฎหมายสำหรับนักลงทุนต่างชาติ หากเหตุการณ์ทางธุรกิจส่งผลกระทบต่อการถือครองหุ้นของบริษัท

การปรับเปลี่ยนเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในวงกว้างเพื่อเสริมสร้างความโปร่งใสและเสถียรภาพของตลาดหลักทรัพย์เวียดนาม การออกกฎหมายนี้สอดคล้องกับมาตรการบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่องต่อผู้เข้าร่วมตลาดที่ละเมิดกฎระเบียบ เช่น การปรับบริษัทหลักทรัพย์ดีเอสซี 700 ล้านด่องเมื่อเร็วๆ นี้ จากการละเมิดกฎระเบียบหลายครั้ง แนวทางคู่ขนานของรัฐบาล คือ การเพิ่มความเข้มงวดในข้อกำหนดการเข้าตลาดควบคู่ไปกับการปราบปรามการไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบ แสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ที่ชัดเจนในการสร้างระบบการเงินที่แข็งแกร่งและน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น

เวียดนามเตรียมทดสอบตลาดซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล

Vietnam's Financial Reforms: IPO, Bond Rules, and Digital Asset Market (6)

เวียดนามจะทดสอบตลาดซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นระยะเวลา 5 ปี ซึ่งจะอนุญาตให้ออกสกุลเงินดิจิทัลได้

เฉพาะบริษัทเวียดนามเท่านั้นที่จะได้รับอนุญาตให้ดำเนินการแพลตฟอร์ม และการออก ซื้อขาย และชำระเงินสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งหมดจะต้องดำเนินการในสกุลเงินด่อง ตามมติของรัฐบาลที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568

ผู้ที่มีสิทธิ์ออกสกุลเงินดิจิทัลต้องมีเงินทุน 10 ล้านล้านดอง (380 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยต้องมีเงินลงทุนจากนักลงทุนสถาบันอย่างน้อย 65% สัดส่วนการมีส่วนร่วมของชาวต่างชาติถูกจำกัดไว้ที่ 49%

ผู้ถือหุ้นและผู้ลงทุนต้องมีกำไรอย่างน้อยสองปีติดต่อกันก่อนยื่นขอใบอนุญาต

สมาคมบล็อกเชนเวียดนาม ( Vietnam Blockchain Association) อ้างอิงข้อมูลจาก Chainalysis บริษัทวิเคราะห์ ว่า เงินทุนบล็อกเชนที่ไหลเข้าสู่เวียดนามมีมูลค่าสูงกว่า 1.05 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2566-2567

รายงานปี 2567 โดย Triple-A ซึ่งเป็นเกตเวย์การชำระเงินด้วยคริปโต แสดงให้เห็นว่าประชากรเวียดนามมากกว่า 20% ถือครองคริปโตเคอร์เรนซี

เวียดนามยังติดอันดับ 1 ใน 3 ประเทศที่มีการนำคริปโตไปใช้มากที่สุด โดยมีอัตราการใช้คริปโตสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกถึง 3-4 เท่า ตามข้อมูลของ Chainalysis

นครโฮจิมินห์ขยายสัดส่วนถือครองกรรมสิทธิ์ในโครงการอสังหาของต่างชาติเพื่อดึงดูด FDI

Vietnam's Financial Reforms: IPO, Bond Rules, and Digital Asset Market (7)

นโยบายขยายสัดส่วนการถือครองกรรมสิทธิ์ของชาวต่างชาติสำหรับโครงการที่มีสิทธิ์ขายให้กับชาวต่างชาติ ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยให้ตลาดสามารถดูดซับเงินทุนจากต่างประเทศ ขณะเดียวกันก็วางตำแหน่งนครโฮจิมินห์ให้เป็นศูนย์กลางอสังหาริมทรัพย์แบบบูรณาการในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เมื่อเร็วๆนี้ นครโฮจิมินห์ได้ประกาศโครงการที่มีสิทธิ์ขายให้กับบุคคลและองค์กรต่างชาติ เพิ่มอีก 48 โครงการ ทำให้ปัจจุบันมีโครงการทั้งหมด 65 โครงการ การดำเนินการครั้งนี้ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดเงินทุนจากต่างประเทศและสร้างความต้องการในตลาดเพิ่มขึ้น

เหงียน คั้ญ ซุย ผู้อำนวยการฝ่ายขายที่อยู่อาศัยของ Savills นครโฮจิมินห์ กล่าวว่า การกำหนดเพดานการถือครองกรรมสิทธิ์อพาร์ตเมนต์ในอาคารไม่เกิน 30% หรือบ้านจัดสรร 250 หลังในแต่ละเขต จะช่วยให้ตลาดดูดซับเงินทุนจากต่างประเทศได้โดยไม่ก่อให้เกิดความผันผวนของราคาที่มากเกินไป ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นสภาพคล่อง

Savills Vietnam รายงานว่านครโฮจิมินห์ประสบปัญหาการขาดแคลนที่อยู่อาศัยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยตั้งเป้าพัฒนาที่อยู่อาศัยใหม่ 235,000 ยูนิต ระหว่างปี 2564 ถึง 2568 แต่จนถึงขณะนี้ยังทำได้เพียงประมาณ 24% ของเป้าหมาย ซึ่งยังขาดอยู่ประมาณ 179,000 ยูนิต ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 อุปทานหลักอยู่ที่ 6,800 ยูนิต และมียอดขายรวม 3,800 ยูนิต สำหรับช่วงปี 2568-2570 คาดการณ์ว่าอุปทานในอนาคตจะอยู่ที่ประมาณ 39,000 ยูนิต ซึ่งยังถือว่าค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับความต้องการที่แท้จริง

ในส่วนของอสังหาริมทรัพย์ประเภทบ้านและที่ดิน สถานการณ์ยิ่งท้าทายมากขึ้นไปอีก ในช่วงครึ่งปีแรก อุปทานหลักมีเพียง 700 ยูนิต และมีการซื้อขายเพียง 170 รายการ คาดว่าตั้งแต่บัดนี้จนถึงปี 2570 จะมีบ้านจัดสรรใหม่เพิ่มขึ้นเพียงประมาณ 3,600 หลัง ซึ่งส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในเขตชานเมือง

อย่างไรก็ตาม ตามที่ Savills Vietnam ระบุ ในระยะยาว การเปลี่ยนแปลงและการปรับปรุงในเชิงบวก ตั้งแต่การบังคับใช้กฎหมายและนโยบายใหม่ไปจนถึงการปรับปรุงขั้นตอนการอนุมัติทางกฎหมาย คาดว่าจะสร้างโอกาสในการเติบโตให้กับตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยในนครโฮจิมินห์

ผู้ซื้อชาวต่างชาติมักซื้ออพาร์ตเมนต์ระดับกลางถึงสูงในขนาดกลาง ซึ่งตั้งอยู่ในย่านใจกลางเมืองหรือใกล้รถไฟฟ้าใต้ดินจากผู้พัฒนาโครงการต่างชาติ มูลค่าการซื้อขายโดยทั่วไปอยู่ระหว่าง 500,000 ดอลลาร์สหรัฐ ถึง 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อยูนิต โดยนักลงทุนส่วนใหญ่มาจากสิงคโปร์ ฮ่องกง เกาหลีใต้ ไต้หวัน และชุมชนชาวเวียดนามโพ้นทะเล

นโยบายการเปิดตลาดแบบควบคุมจะช่วยสนับสนุนราคาตลาดหลักและยกระดับมาตรฐานการให้บริการ ดุย ระบุว่า ผู้พัฒนาที่มีโครงการอยู่ในรายชื่อที่ได้รับการอนุมัติให้ขายต่างประเทศจะมีข้อได้เปรียบอย่างมากในการเข้าถึงช่องทางการจัดจำหน่ายระหว่างประเทศ

นอกจากเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าแล้ว Savills ยังชี้ว่านักลงทุนย้ายฐานการลงทุนจากภาคเหนือมายังนครโฮจิมินห์อย่างหนาแน่น Duy ระบุว่า มีปัจจัย 3 ประการที่ผลักดันแนวโน้มนี้ ได้แก่ ระดับราคาในนครโฮจิมินห์ยังคงต่ำกว่าในฮานอย โครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น ถนนวงแหวนหมายเลข 3 และสนามบินลองถั่น กำลังสร้างความคาดหวังที่สูง และอุปทานใหม่ในนครโฮจิมินห์และพื้นที่โดยรอบมีความหลากหลายมากขึ้น

ตลาดภาคใต้ยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนภาคเหนือ ในระยะยาว ความโปร่งใสในการลงประกาศโครงการ การปฏิรูปการบริหาร และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่สอดประสานกัน จะช่วยยกระดับเมืองให้เป็นศูนย์กลางด้านอสังหาริมทรัพย์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมืองนี้ไม่เพียงแต่มีโอกาสดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เข้าสู่ภาคอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น แต่ยังมีโอกาสขยายธุรกิจไปสู่ภาคการเงิน การจัดการสินทรัพย์ และบริการที่เกี่ยวข้องอีกด้วย

สินค้าอเมริกันทะลักเข้าเวียดนาม

Vietnam's Financial Reforms: IPO, Bond Rules, and Digital Asset Market (8)

การนำเข้าของเวียดนามจากสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สู่ระดับ 10.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 โดยสินค้าขั้นกลางสำหรับการผลิตและผลผลิตทางการเกษตรเพิ่มขึ้นอย่างมาก

ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลเวียดนามได้กระตุ้นให้ธุรกิจในท้องถิ่นซื้อสินค้าจากอเมริกามากขึ้นเพื่อทำให้ดุลการค้าสมดุบมากขึ้น

ฝ้ายเป็นสินค้านำเข้าอันดับหนึ่ง มูลค่าเกือบ 940 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 56% ตามข้อมูลของกรมศุลกากรเวียดนาม การซื้อพลาสติกดิบเพิ่มขึ้นเกือบ 49% เป็น 656 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

การนำเข้าเศษเหล็กเพิ่มขึ้นสองเท่าเป็น 125 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สะท้อนสัญญาณการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมก่อสร้าง

การซื้อผักและผลไม้เพิ่มขึ้น 47% เป็น 353 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และการนำเข้าอาหารสัตว์เพิ่มขึ้น 27% เป็น 447 ล้านดอลลาร์สหรัฐ การนำเข้าถั่วเหลืองเพิ่มขึ้น 8% เป็น 248 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

การเยือนของโด ดึ๊ก ซุย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสิ่งแวดล้อมในเดือนมิถุนายน ส่งผลให้บรรลุข้อตกลงด้านสินค้าเกษตรสหรัฐมูลค่าเกือบ 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และความร่วมมือในวงกว้าง

ในเดือนกรกฎาคม วอชิงตันได้ลดภาษีศุลกากร reciprocal tariffs สำหรับเวียดนามจาก 46% เหลือ 20% ขณะที่เวียดนามได้ลดภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าหลายรายการของสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงอาหารทะเลและสินค้าเกษตร เหลือ 0% ตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม

สินค้าเกษตรและอาหารของสหรัฐฯ ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในหมู่ผู้บริโภคชาวเวียดนาม เนื้อวัวจากสหรัฐฯ ได้รับความนิยมเนื่องจากความต้องการที่สูงและอุปทานภายในประเทศไม่เพียงพอ

แต่ภาษีศุลกากรยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ โดยเนื้อวัวไร้กระดูกถูกเก็บภาษีที่ 14% และเนื้อวัวติดกระดูกถูกเก็บภาษีที่ 20%

สหพันธ์ส่งออกเนื้อสัตว์แห่งสหรัฐอเมริกา (U.S. Meat Export Federation)ในเวียดนามระบุว่า หากลดภาษีนำเข้าเหลือ 0% การนำเข้าอาจเพิ่มขึ้น 20-30% ภายใน 6 เดือน เนื่องจากราคาสามารถแข่งขันกับสินค้านำเข้าจากออสเตรเลียและแคนาดาได้มากขึ้น

เนื้อวัวส่วนท้องของสหรัฐฯ มีราคาขายปลีกอยู่ที่ 400,000-500,000 ด่อง (15-19 ดอลลาร์สหรัฐ) ต่อกิโลกรัม และเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในร้านอาหารระดับไฮเอนด์

ผลไม้อเมริกัน เช่น แอปเปิล องุ่น เชอร์รี่ และเนคทารีน ก็กำลังได้รับความนิยมเช่นกัน เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา เคาน์เตอร์ผลไม้นำเข้าในร้านอาหารระดับพรีเมียมในนครโฮจิมินห์ก็แน่นขนัดไปด้วยผู้คน

เนคทารีนจากแคลิฟอร์เนีย ซึ่งมีจำหน่ายในเวียดนามเป็นครั้งแรกในราคาเกือบ 500,000 ด่อง (18.96 บาท) ต่อกิโลกรัม ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ขณะที่เชอร์รี่จากอเมริกาขายหมดเกลี้ยงเนื่องจากราคาลดลง 30-50% จากปีก่อน

ผลไม้บางชนิดได้รับการลดภาษีนำเข้าเหลือประมาณ 3% ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม ทำให้ราคาถูกลง สหรัฐฯ ได้ส่งเสริมผลิตภัณฑ์บางชนิดผ่านกิจกรรมด้านอาหาร

สัปดาห์อาหารอเมริกัน (American Cuisine Week) ในโฮจิมินห์ ซึ่งจัดขึ้นโดยมีร้านอาหาร 10 ร้านเข้าร่วม ได้นำเสนออาหารที่ทำจากเนื้อวัวและเนื้อสัตว์ปีก ชีสจากแคลิฟอร์เนีย ไวน์นิวยอร์ก แอปเปิลวอชิงตัน บลูเบอร์รี่ มันฝรั่ง และอาหารทะเลจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

แม้ว่าการนำเข้าจากสหรัฐฯ จะเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคและผู้ผลิตมากขึ้น แต่ก็สร้างแรงกดดันให้กับผู้ผลิตในประเทศเช่นกัน ตามข้อมูลของสมาคมผักและผลไม้เวียดนาม(Vietnam Fruit and Vegetable Association)

สิงคโปร์ตกอันดับใน World Talent

Vietnam's Financial Reforms: IPO, Bond Rules, and Digital Asset Market (9)

สิงคโปร์ตกลงไปอยู่ในอันดับ 7 ในการจัดอันดับ World Talent Ranking 2025 ของ World Competitiveness Center แห่ง International Institute for Management Development (IMD) ล่าสุด จากอันดับ 2 ในปีที่แล้ว

สิงคโปร์สูญเสียสถานะประเทศที่มีผลงานดีที่สุดในเอเชียไป โดยฮ่องกงแซงหน้าไป 5 อันดับ มาอยู่อันดับที่ 4 ขณะที่สวิตเซอร์แลนด์ยังคงครองอันดับหนึ่ง ตามมาด้วยลักเซมเบิร์กและไอซ์แลนด์

การจัดอันดับซึ่งเผยแพร่เมื่อวันอังคาร (9 ก.ย.) โดย World Competitiveness Center ของสถาบัน IMD ซึ่งตั้งอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ ได้ประเมินแต่ละประเทศ โดยใช้ข้อมูลทางสถิติและแบบสำรวจจากผู้บริหาร 6,162 คน โดยประเมิน 3 เสาหลัก ได้แก่ การลงทุนและการพัฒนา ความน่าดึงดูด และความพร้อม

การลงทุนและการพัฒนาของสิงคโปร์ตกต่ำลงอย่างมาก โดยร่วงลงจากอันดับที่ 22 ในปี 2567 มาอยู่ที่อันดับที่ 30 ปัจจัยสำคัญนี้พิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น การใช้จ่ายด้านการศึกษาของรัฐ อัตราส่วนนักเรียนต่อครู และการดำเนินการฝึกงาน

รายจ่ายภาครัฐด้านการศึกษาคิดเป็นเพียง 2.1% ของ GDP ของสิงคโปร์ ซึ่งอยู่อันดับที่ 63

จุดอ่อนอีกประการหนึ่งคือค่าครองชีพที่สูงภายใต้เสาหลักด้านความน่าดึงดูด ซึ่งสิงคโปร์อยู่ในอันดับที่ 65

อย่างไรก็ตาม สิงคโปร์ยังคงทำผลงานได้อย่างแข็งแกร่งในด้านความพร้อม โดยร่วงลงมาเพียงหนึ่งอันดับมาอยู่ที่อันดับสอง ผู้บริหารที่ตอบแบบสอบถามให้คะแนนทักษะที่ได้รับจากระบบการศึกษาระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาของสิงคโปร์ในระดับสูง โดยระบุว่าทักษะเหล่านี้สอดคล้องกับความต้องการของเศรษฐกิจที่มีการแข่งขัน

จุดแข็งอื่นๆ ได้แก่ สัดส่วนผู้สำเร็จการศึกษาสาขาวิทยาศาสตร์ จำนวนนักศึกษาต่างชาติในระดับอุดมศึกษา และคะแนนจากการสำรวจ PISA ของ OECD ในกลุ่มเยาวชนอายุ 15 ปี สิงคโปร์ยังอยู่ในอันดับที่สามในตัวชี้วัดย่อยที่วัดมุมมองของผู้เชี่ยวชาญต่างชาติที่มีทักษะสูงต่อสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ

ในการแถลงข่าวเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา อาร์ตูโร บริส ผู้อำนวยการศูนย์ความสามารถในการแข่งขันระดับโลกของ IMD กล่าวว่าค่าครองชีพที่สูงขึ้นในสิงคโปร์ทำให้บุคลากรที่มีความสามารถอยู่ได้ยากขึ้น และเสริมว่าแม้ว่าสิงคโปร์จะมี “ศักยภาพ” ในด้านการศึกษามากเพียงพอ แต่กลับอยู่ในอันดับต่ำเนื่องจากมีการลงทุนในด้านนี้ค่อนข้างต่ำ

ศาสตราจารย์ Misiek Piskorski คณบดีฝ่ายการศึกษาสำหรับผู้บริหารของ IMD กล่าวว่าองค์กรต่างๆ กำลังย้ายฐานไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย และเวียดนาม ซึ่งมีความมั่นคงและเจริญรุ่งเรืองมากขึ้น และบริษัทต่างๆ จะสามารถได้รับ “แรงงานที่มีคุณภาพใกล้เคียงกันในราคาที่ถูกกว่ามาก”

“ดังนั้น ไม่ใช่ตัวบุคลากรที่มีความสามารถจะไปเอง แต่เป็นเพราะองค์กรหลายแห่งกำลังออกไป และบุคลากรที่มีความสามารถก็จะตามไปด้วย”

อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์ Piskorsk iก็เชื่อมั่นว่าสิงคโปร์จะกลับมาฟื้นตัว โดยกล่าวว่าเขาคาดหวังว่าประเทศจะกลับมาพร้อม “แผนการที่วางแผนมาอย่างดี” เพื่อดึงดูดบุคลากรกลับมา

นอกจากฮ่องกงแล้ว สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ยังติดอันดับ 1 ใน 10 เศรษฐกิจเอเชีย โดยอยู่ในอันดับที่ 9

IMD ระบุว่าทั้งฮ่องกงและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ประสบความสำเร็จในการดึงดูดนักศึกษาต่างชาติจำนวนมาก สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มีภาคเอกชนที่ “มีการแข่งขันสูง” ขณะที่ฮ่องกงได้รับการยกย่องในด้านผลการเรียนที่ “โดดเด่น

จากข้อมูลของ IMD การเคลื่อนย้ายนักศึกษาต่างชาติจะเป็นรากฐานสำหรับกลยุทธ์ระยะยาวสำหรับบุคลากรที่มีความสามารถ โดยเฉพาะในประเทศที่สามารถบูรณาการนักศึกษาเหล่านี้เข้ากับตลาดแรงงานได้

ประเทศเอเชียอื่นๆ ที่ติด 50 อันดับแรก ได้แก่ ไต้หวัน ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 17 และมาเลเซีย ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 25 เกาหลีใต้อยู่ในอันดับที่ 37 และจีนอยู่ในอันดับที่ 38

สำหรับประเทศไทยอยู่ในอันดับ 43 ดีขึ้นจากอันดับ 47 ในปีก่อน

มาเลเซียปรับกลไกสิทธิประโยชน์หนุนอุตสาหกรรมรถยนต์

Vietnam's Financial Reforms: IPO, Bond Rules, and Digital Asset Market (10)

กระทรวงการลงทุน การค้า และอุตสาหกรรม (Miti) มาเลเซียกำลังดำเนินการขั้นสุดท้ายในเรื่องกลไกสิทธิประโยชน์ใหม่(New Customised Incentive Mechanism:NCM) ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อจัดทำโครงสร้างภาษีและแรงจูงใจที่โปร่งใสและน่าดึงดูดใจมากขึ้น เพื่อเสริมสร้างอุตสาหกรรมยานยนต์ของมาเลเซีย

รัฐมนตรีกระทรวงการลงทุน การค้า และอุตสาหกรรมเต็งกู ดาโต๊ะ สรี ซาฟรูล อับดุล อาซิส กล่าวว่า โครงการริเริ่มดังกล่าวจะสนับสนุนการลงทุนด้านยานยนต์ผ่านกรอบภาษีที่ชัดเจนยิ่งขึ้น แรงจูงใจที่เป็นธรรมยิ่งขึ้น และการพัฒนาระบบนิเวศที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

“มาตรการเหล่านี้ ร่วมกับความพยายามที่จะเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าของมาเลเซีย มีเป้าหมายเพื่อคงนโยบายให้สอดคล้องกับแนวโน้มการเดินทางทั่วโลก และสร้างระบบนิเวศที่จำเป็นต่อการเพิ่มความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในรถยนต์ไฟฟ้า (EV)” ซาฟรูลกล่าวในการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ Chery iCAUR 03 SUV เมื่อวันอังคาร(9 ก.ย.)

ซาฟรูลกล่าวว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศมียอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 816,747 คันในปี 2567 ซึ่งสูงกว่าระดับปกติ 800,000 คันเป็นครั้งแรก “แม้ว่าตัวเลขในปี 2568 คาดว่าจะกลับสู่ภาวะปกติในแง่ของปริมาณการผลิตโดยรวมของอุตสาหกรรม แต่สมาคมยานยนต์มาเลเซียคาดการณ์ว่ายอดขายจะยังคงทรงตัวที่ 780,000 คัน” ซาฟรูลกล่าว

ซาฟรูลย้ำว่ารัฐบาลไม่ได้ให้ความสำคัญกับปริมาณเพียงอย่างเดียว แต่ยังให้ความสำคัญกับคุณภาพด้วย เพื่อให้มั่นใจว่าชาวมาเลเซียจะสามารถเข้าถึงรถยนต์ที่มีระบบส่งกำลังที่ทันสมัย ​​คุณสมบัติด้านความปลอดภัยที่ทันสมัย ​​และแพ็คเกจเทคโนโลยีที่มอบประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือ

ซาฟรูลกล่าวถึงเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านสู่สีเขียวของมาเลเซีย ว่า กระทรวงฯและสถาบันยานยนต์หุ่นยนต์และ IoT มาเลเซีย (Malaysia Automotive Robotics and IoT Institute :MARii) กำลังดำเนินการทบทวนนโยบายยานยนต์แห่งชาติ ( National Automotive Policy:NAP) ปี 2563 ระยะกลาง เพื่อให้สอดคล้องกับภูมิทัศน์ยานยนต์โลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและปัจจัยสำคัญอื่นๆ ของอุตสาหกรรม “โดยภาพรวมแล้ว การทบทวน NAP จะครอบคลุมประเด็นต่างๆ เช่น การลดการพึ่งพาน้ำมันเบนซินและการขยายการส่งออกชิ้นส่วน เพื่อให้มั่นใจว่ามาเลเซียยังคงนำหน้าเทรนด์สำคัญด้านการเดินทาง” ซาฟรูลกล่าวเสริม

ซาฟรูลกล่าวว่าในฐานะประธานอาเซียนในปี 2568 มาเลเซียมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างห่วงโซ่อุปทานยานยนต์ ส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐาน EV ข้ามพรมแดน และสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาร่วมกันในเทคโนโลยียุคใหม่ “เรากำลังวางตำแหน่งมาเลเซียให้เป็นศูนย์กลางนวัตกรรมและการผลิตระดับภูมิภาค ซึ่งยานยนต์ที่ผลิตในมาเลเซียสามารถรองรับภูมิภาคอาเซียนและภูมิภาคเอเชียทั้งหมด และเป็นที่ที่บุคลากรที่มีความสามารถของมาเลเซียมีส่วนร่วมในการพัฒนาที่ก้าวล้ำในด้านการเดินทางสีเขียว”

ซาฟรูล กล่าวว่า นักลงทุนอย่าง Chery มีบทบาทสำคัญในการเร่งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมยานยนต์ของมาเลเซีย และรัฐบาลมุ่งมั่นที่จะสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมผ่านนโยบายที่มั่นคงและสอดคล้องกัน “เราเข้าใจดีว่านักลงทุนอย่างChery จำเป็นต้องมีความเชื่อมั่นและไว้วางใจ ไม่เพียงแต่ในทิศทางนโยบายของเราเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการดำเนินการของเราด้วย”

NCM คือกรอบการทำงานด้านแรงจูงใจในภาคยานยนต์ที่ปรับปรุงใหม่ของมาเลเซีย ซึ่งได้รับการจัดทำให้มีความโปร่งใสและเป็นธรรม แทนระบบแรงจูงใจแบบปรับเป็นรายๆที่คลุมเครือมากกว่า

อินโดนีเซียเสริมความแข็งแกร่งการเชื่อมต่อแบบดิจิทัลผ่านดาวเทียมดวงใหม่

Vietnam's Financial Reforms: IPO, Bond Rules, and Digital Asset Market (11)

อินโดนีเซียก้าวไปอีกขั้นในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัล ด้วยการปล่อยดาวเทียมนูซันตารา ลิมา (N5) ซึ่งออกแบบมาเพื่อเสริมสร้างการเชื่อมต่อทั่วประเทศและขยายการเข้าถึงบริการดิจิทัลที่จำเป็น

เมอตยา ฮาฟิด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการสื่อสารและกิจการดิจิทัล ย้ำว่าดาวเทียมนี้ไม่เพียงแต่เป็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของประเทศในการสร้างความเท่าเทียมทางดิจิทัลอีกด้วย

“นูซันตารา ลิมา เป็นสะพานเชื่อมอินโดนีเซียอย่างไร้ขีดจำกัด” รัฐมนตรีกล่าว พร้อมระบุว่าอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงจะสามารถเข้าถึงได้อย่างกว้างขวางมากขึ้นทั่วทั้งหมู่เกาะ

รัฐมนตรีเน้นย้ำว่าดาวเทียมจะสร้างโอกาสที่เท่าเทียมกันสำหรับชุมชนในพื้นที่ห่างไกลและด้อยโอกาส

“เด็กๆ ในโมลุกกะและปาปัวจะสามารถเข้าถึงการเรียนรู้ได้เช่นเดียวกับเด็กๆ ในจาการ์ตา ผู้ป่วยในหมู่เกาะห่างไกลสามารถปรึกษาแพทย์ชั้นนำจากภูมิภาคอื่นๆ และธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (MSMEs) จะสามารถแข่งขันในเศรษฐกิจดิจิทัลได้” เมอตยาอธิบาย “นี่คือความหมายของความเท่าเทียมทางดิจิทัลที่แท้จริง”

ดาวเทียมนูซันตาราลิมา เป็นของบริษัท PT Satelit Nusantara Lima (SNL) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ PT Pasifik Satelit Nusantara (PSN) และได้รับการพัฒนาผ่านความร่วมมือระหว่างประเทศกับบริษัทโบอิ้ง แซทเทิลไลท์ ซิสเต็มส์(Boeing Satellite Systems) ฮิวจ์ส เน็ตเวิร์ก ซิสเต็มส์(Hughes Network Systems) และสเปซเอ็กซ์ (SpaceX) ดาวเทียมนี้ถูกปล่อยขึ้นสู่อวกาศด้วยจรวดฟอลคอน 9 ของสเปซเอ็กซ์ จากแหลมคานาเวอรัล สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2568

ดาวเทียม N5 ปฏิบัติการในวงโคจรที่ลองจิจูด 113 องศาตะวันออก มีความจุในการรับส่งข้อมูล 160 Gbps ((Gigabits per Second)) ทำให้เป็นดาวเทียมสื่อสารที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครอบคลุมพื้นที่ครอบคลุมทั่วหมู่เกาะอินโดนีเซีย ทำให้มั่นใจได้ว่าแม้แต่ชุมชนที่ห่างไกลที่สุดก็สามารถเข้าถึงการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่วางใจได้

การติดตั้งดาวเทียม N5 ถือเป็นการสานต่อเส้นทางการพัฒนาดาวเทียมอันยาวนานของอินโดนีเซีย นับตั้งแต่การปล่อยดาวเทียม Palapa A1 ในปี พ.ศ. 2519 การปล่อยดาวเทียม Nusantara Satu ในปี พ.ศ. 2562 และการปล่อยดาวเทียม SATRIA-1 ในปี พ.ศ. 2566 ความก้าวหน้าเหล่านี้ช่วยเสริมสร้างบทบาทเชิงกลยุทธ์ของอินโดนีเซียในฐานะผู้ให้บริการดาวเทียมและศูนย์กลางการเชื่อมต่อดิจิทัลในภูมิภาค

คาดว่าดาวเทียมดวงนี้จะช่วยยกระดับการเรียนรู้ทางไกล เสริมสร้างระบบการดูแลสุขภาพดิจิทัล สนับสนุนธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (MSMEs) ทางออนไลน์ และขยายการเข้าถึงข้อมูลและความบันเทิงของสาธารณชน เหนือสิ่งอื่นใด นูซันตารา ลิมา ตอกย้ำความมุ่งมั่นของอินโดนีเซียในการสร้างความมั่นใจว่าโอกาสทางดิจิทัลไม่ได้ถูกจำกัดด้วยภูมิศาสตร์ แต่เปิดกว้างสำหรับประชาชนทุกคน

ความสำคัญของภารกิจนี้สะท้อนให้เห็นแล้วในโครงการริเริ่มระดับท้องถิ่นที่แสดงให้เห็นว่าการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนอย่างไร เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ยูนัส วอนดา หัวหน้าเขตจายาปุระ ได้เน้นย้ำว่าการเชื่อมต่อในพื้นที่ห่างไกลเป็นกุญแจสำคัญในการขจัดความโดดเดี่ยวและสร้างความมั่นใจในการเข้าถึงบริการอย่างเท่าเทียมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการดูแลสุขภาพและการศึกษาในจังหวัดปาปัว

วอนดากล่าวว่าการติดตั้งอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมที่ศูนย์สุขภาพชุมชนไอรูช่วยปรับปรุงบริการได้อย่างมาก ช่วยให้การส่งต่อผู้ป่วยรวดเร็วขึ้น ประสานงานได้ดีขึ้น และเข้าถึงการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญได้ดีขึ้น

“พื้นที่ห่างไกลอย่างไอรูไม่ได้ถูกทิ้งไว้ข้างหลังในแง่ของข้อมูลอีกต่อไป มันทำลายกำแพงและรวมเราให้เป็นหนึ่งเดียวในระบบบริการที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น” วอนดากล่าว

เจ้าหน้าที่สาธารณสุขในไอรูรายงานว่า อินเทอร์เน็ตที่วางใจได้ในปัจจุบันช่วยให้พวกเขาสามารถส่งรายงานได้ทันเวลา ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับกรณีทางการแพทย์ ติดตามการตั้งครรภ์ ติดตามภาวะแคระแกร็น และปรับปรุงความครอบคลุมของการฉีดวัคซีน

การเชื่อมต่อยังได้รับการให้ความสำคัญในระดับหมู่บ้าน ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2568 เนซาร์ ปาเตรีย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการสื่อสารและกิจการดิจิทัล ได้เน้นย้ำถึงความพยายามในการสนับสนุนหมู่บ้านดิจิทัล เช่น หมู่บ้านดิจิทัลตัมบัก กาลีโซโก ในจังหวัดชวาตะวันออก ซึ่งทำหน้าที่เป็นโครงการนำร่องสำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลในชนบทที่กว้างขึ้น

“เราต้องการขยายการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตในหมู่บ้านและปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกให้เหมาะสม เพื่อให้ประชาชนสามารถรักษาผลผลิตได้ โดยเฉพาะในภาคส่วนต่างๆ เช่น การประมง” เนซาร์กล่าว พร้อมยกตัวอย่างการใช้กล้องวงจรปิดทั้งเพื่อความปลอดภัยและการตรวจสอบสภาพบ่อน้ำ

โครงการริเริ่มเหล่านี้ตอกย้ำกลยุทธ์ดิจิทัลในวงกว้างของอินโดนีเซีย ตั้งแต่การครอบคลุมพื้นที่ผ่านดาวเทียมระดับประเทศไปจนถึงการเชื่อมต่อหมู่บ้านในท้องถิ่น ทุกระดับของสังคมได้รับการเสริมพลังให้มีส่วนร่วมในเศรษฐกิจดิจิทัล เข้าถึงบริการที่จำเป็น และได้รับประโยชน์จากโอกาสที่เท่าเทียมกันทั่วทั้งหมู่เกาะ

Related posts:

  1. ASEAN Roundup เวียดนามเพิ่มการใช้จ่ายของรัฐด้านการศึกษาเป็น 20%
  2. รายงาน WEF ชี้อาเซียนมีขีดความสามารถนำโลกการเดินทางท่องเที่ยว แนะต้องเร่งสร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม
  3. ASEAN Roundup กัมพูชาเปิดตลาดค้าชายแดนร่วมเวียดนาม มาเลเซียห้ามสูบบุหรี่ในร้านอาหาร 1 ม.ค.2563
  4. ASEAN Roundup สำรวจมาตรการเยียวยาเศรษฐกิจจากผลกระทบโควิด-19 ประเทศสมาชิกอาเซียน
  5. ASEAN Roundup อินโดนีเซียเล็งเก็บภาษีคนรวยอุดรายได้ฝ่าวิกฤติโควิด-19
  6. ASEAN Roundup ฮุน เซน ประกาศชิงนายกรัฐมนตรีปีหน้า
Vietnam's Financial Reforms: IPO, Bond Rules, and Digital Asset Market (2025)
Top Articles
Latest Posts
Recommended Articles
Article information

Author: Otha Schamberger

Last Updated:

Views: 5592

Rating: 4.4 / 5 (75 voted)

Reviews: 90% of readers found this page helpful

Author information

Name: Otha Schamberger

Birthday: 1999-08-15

Address: Suite 490 606 Hammes Ferry, Carterhaven, IL 62290

Phone: +8557035444877

Job: Forward IT Agent

Hobby: Fishing, Flying, Jewelry making, Digital arts, Sand art, Parkour, tabletop games

Introduction: My name is Otha Schamberger, I am a vast, good, healthy, cheerful, energetic, gorgeous, magnificent person who loves writing and wants to share my knowledge and understanding with you.